สารวัด ฉบับที่ 857 วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน 2553 เทศกาลธรรมดา

บอกเล่าให้ฟัง

การนมัสการพระเป็นเจ้าหมายถึง การถวายคารวกิจแด่พระเป็นเจ้าในฐานะที่ทรงเป็นพระผู้สร้าง และเจ้านายสูงสุดของสรรพสิ่ง การถวายคารวกิจที่กระทำร่วมกันในนามของพระศาสนจักร เราเรียกว่าคารวกิจสาธารณะ อาทิ มิสซาบูชาขอบพระคุณ การสวดทำวัตรประจำวันของพระสงฆ์ และจารีตอื่นๆที่พระสงฆ์กระทำในนามของพระศาสนจักร ในเมื่อมีคารวกิจที่กระทำร่วมกันเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องมีบทภาวนาทางการที่พระศาสนจักรแต่งขึ้น และบทตอบรับในพิธีกรรมต่างๆ เพื่อให้ทุกคนสามารถสวดภาวนา ตอบ-รับร่วมกันโดยพร้อมเพียง บทภาวนาทางการที่พระศาสนจักรแต่งขึ้นเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเชื่อและคำสอนของพระศาสนจักร

การถวายคารวกิจหรือการสวดภาวนาส่วนตัวเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ และสมควรทำเป็นอย่างยิ่ง ในการสวดภาวนาส่วนตัวเราอาจจะทำแบบจิตภาวนา โดยภาวนาออกมาจากใจด้วยคำพูดของเราเองเหมือนกับเวลาที่เราคุยกับพ่อแม่ หรือจะใช้บทภาวนาทางการของพระศาสนจักรก็ทำได้เช่นกัน ส่วนเรื่องการทำจิตภาวนา หรือการทำสมาธิก็คือการทำจิตใจของเราให้สงบเพื่อเราจะได้สวดภาวนาได้ดีขึ้น ในความวุ่นวายอึกทึกครึกโครมเราจะสวดภาวนาได้หรือไม่ คำตอบก็คือได้ทุกเวลา แต่จะดีหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นที่ๆ สงบเงียบร่มเย็นจึงเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การสวดภาวนา เนื่องจากความสงบเงียบทำให้เราสวดภาวนาได้ดี และยังเป็นจังหวะช่วงเวลาที่เราจะสามารถฟังสิ่งที่พระเป็นเจ้าต้องการตรัสกับเรา ดังนั้นในพิธีกรรม ในการสวดภาวนา และในการอ่านพระคัมภีร์ พระศาสนจักรจึงกำหนดให้มีเวลาเงียบเป็นช่วงๆ และสอนไม่ให้ประกอบพิธีกรรมและสวดภาวนาเร็วเกินไป คริสตชนหลายคนถามว่า ในพระศาสนจักรคาทอลิกมีการทำจิตภาวนาสมาธิหรือไม่ และบางคนก็ไปทำกับศาสนาอื่นไปแล้วโดยคิดว่าในศาสนาเราไม่มี แต่ความจริงแล้วในพระศาสนจักรก็มี และพ่อคิดว่าน่าจะดีและเหมาะสมกว่าด้วย เพราะเป็นไปตามแนวทางของพระศาสนจักร และบรรดานักบุญที่ได้ปฏิบัติมาแล้ว อาทิ นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขน นักบุญเทเรซาแห่งอาวีลา ท่านทั้งสองเขียนหนังสือไว้มากมาย “คืนมืดของวิญญาณ” “บทเพลงแห่งชีวิตภายใน” “ปราสาทแห่งชีวิตภายใน” ฯลฯ ถ้าเราอยากรู้จักผลงานของท่านก็ลองเปิด Internet ค้นหาดูนะครับ

ความเชื่อและคำแนะให้ทำนั่นทำนี่ที่แปลกๆพิสดาร อาทิ เผยคำทำนายความลับข้อที่ 3 แห่งฟาติมา การอธิบายเรื่องมิสซาบูชาขอบพระคุณที่อัศจรรย์พันลึกมาก ฯลฯ พ่อขอเถอะนะอย่าเอามาวางที่หน้าวัดเลย เพราะพระศาสนจักรไม่ได้รับรอง และยังทำให้เกิดความสับสนทางความเชื่ออีกด้วย ตัวอย่างในเรื่องความลับข้อที่ 3 แห่งฟาติมา พ่อเปิดดูใน website ของวาติกันแล้วเรื่องนี้มีอยู่จริงและพระศาสนจักรได้อธิบายไว้ดีมากๆ มีข้อเรียกร้อง 3 ประการ คือ สวดภาวนา ใช้โทษบาป และกลับใจ แต่ไม่มีเรื่องอัศจรรย์พันลึกอย่างที่ล่ำลือกันเลย ใครอยากรู้ก็ลองไปเปิดดูเถอะครับ

จากคุณพ่อเจ้าวัด

การรู้จักเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องค่อยเป็นค่อยไป

ถ้าเราพิจารณาความสัมพันธ์ของอัครสาวกทั้ง 12 องค์กับพระเยซูคริสตเจ้า เราจะพบว่าเป็นความสัมพันธ์ที่มีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากการรู้จักกันอย่างผิวเผิน อยากรู้อยากเห็น เพราะคำสอนของพระองค์ อาจจะฟังแล้วแปลกกว่าอาจารย์คนอื่นๆ บางคนเริ่มติดตามพระองค์ถามถึงที่อยู่ของพระองค์ ชักชวนคนอื่นมาฟังคำสอน และในที่สุดพระเยซูคริสตเจ้าทรงเลือก และเรียกบางคนให้มาใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขติดตามพระองค์ ในช่วงแรกๆ บรรดาอัครสาวกคิด และเข้าใจถึงพระองค์ตามความคาดหวังของพวกเขา พระเยซูคริสตเจ้าเองก็ค่อยๆเผยแสดงให้พวกเขารู้จักพระองค์มากขึ้น จนในที่สุดเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมพระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ประชาชนว่าเราเป็นใคร”(ลก.9:18) คำตอบที่ได้ยังไม่เป็นเอกภาพและชัดเจน พระองค์จึงตรัสถามพวกเขาใหม่ว่า “ท่านละว่าเราเป็นใคร”(ลก.9:20) เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสต์ของพระเจ้า”(ลก.9:20) จากท่าทีของเปโตร และอัครสาวกอื่นๆ ที่แสดงออกหลังจากที่ได้รับทราบเรื่องมหาทรมานของพระเยซูคริสตเจ้า ทำให้เราทราบว่าคำตอบนั้นถูกต้องแต่ความเข้าใจยังผิวเผินเหลือเกิน พวกเขามารู้จัก และเข้าใจพระองค์อย่างชัดเจน และถูกต้องหลังจากที่พระองค์กลับคืนพระชนมชีพ และพระจิตเจ้าเสด็จลงมาประทับอยู่กับพวกเขาแล้ว

พระเยซูคริสตเจ้าเป็นใครสำหรับพวกเรา เป็นคำถามที่สำคัญและเชิญชวนพวกเราทุกคนให้แสวงหา ติดตามพระองค์ให้เข้มข้นมากขึ้นตามลำดับ เพื่อจะได้รู้จักพระองค์ตามความเป็นจริง การนับถือศาสนา การรู้จักพระเป็นเจ้าตามความคาดหวังของแต่ละคนเป็นสิ่งที่อันตราย เพราะมันจะส่งผลถึงการปฏิบัติในชีวิตจริงอย่างแน่นอน อาทิ นักบุญเปโตร ขัดขวางไม่ยอมให้พระเยซูคริสตเจ้าทำตามพระประสงค์ของพระบิดา โดยยอมรับทรมาน และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน นักบุญยากอบ และยอห์นมาขอตำแหน่งซ้าย-ขวาจากพระองค์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากการรู้จักพระองค์ ตามความคาดหวังของตนเองทั้งสิ้น การรู้จักพระเยซูคริสตเจ้าจึงต้องรู้จักอย่างที่พระองค์เป็น นั่นก็คือพระองค์เป็นพระคริสตเจ้าบุตรพระเจ้าผู้ทรงชีวิต มาบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อไถ่เราให้พ้นจากบาป พระองค์ไม่ใช่กษัตริย์ฝ่ายโลก และเป็นกษัตริย์แห่งพระอาณาจักรฝ่ายจิต อย่าทำให้พระองค์เป็นอย่างที่เราต้องการ อาทิ เป็นผู้ที่หางานให้กับเรา เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ เป็นผู้ที่ทำให้ลูกของเราสอบเข้าเรียนได้ เป็นผู้วิเศษใบ้หวย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มักเกิดขึ้นในการสวดภาวนาขอสิ่งต่างๆ การวอนขอทำได้ และเป็นเรื่องดีเพราะเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของการสวดภาวนา แต่ต้องขอให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า

ขอให้เราคริสตชนมีความกระตือรือร้น ที่จะแสวงหาและติดตามพระเยซูคริสเจ้าอยู่เสมอ โดยการสวดภาวนา มาร่วมมิสซาบูชาขอบพระคุณ อ่านและฟังพระวาจาของพระเจ้า และนำเอาจิตตารมณ์ คุณค่าชีวิตที่เราได้จากการปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ ไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน การกระทำเช่นนี้แหละ จะทำให้เรารู้จักพระเยซูคริสตเจ้าตามความเป็นจริง สามารถพบพระองค์ในเพื่อนพี่น้องที่ต่ำต้อย และเป็นพยานถึงพระองค์ท่ามกลางมนุษย์ทั้งมวล

พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์

ประกาศ

  1. ขอยกเลิกสติ๊กเกอร์เข้า-ออก วิทยาเขต เพราะทางวิทยาเขตสามารถทำให้ได้บางส่วน ไม่สามารถให้ทุกคนได้ทั่วถึง แต่ทางวิทยาเขตจะอำนวยความสะดวกให้เข้า-ออกในวันอาทิตย์ และวันอื่นๆที่เราร้องขอ
  2. เขต 2 จัดอบรมผู้อ่านพระคัมภีร์ วันเสาร์ที่ 19 และ เสาร์ที่ 26 มิถุนายน 2010 ณ วัดมารีย์สวรรค์ ที่วัดของเรามีผู้เข้าอบรม 5 ท่าน
  3. เขต 2 จัดอบรมการทำ website ของวัด ที่วัดมารีย์สวรรค์สองวัน เสาร์สุดท้ายเดือนกรกฎาคม 2010 ผู้ใดสนใจติดต่อได้ที่สภาภิบาล
  4. ขอให้พี่น้องพนมมือในระหว่างฟังพระวาจาของพระเจ้า เพื่อให้เกียรติ์พระวาจาของพระเจ้าซึ่งหมายถึงพระเยซูคริสตเจ้าเอง ตามประกาศของสภาพระสังฆราชในสมัยพระคุณเจ้า ยออากิม พเยาว์ มณีทรัพย์
  5. กรุณาอย่านำเอาเอกสาร หรือหนังสือใดที่พระศาสนจักรไม่ได้รับรอง มาวางไว้ในที่วางหนังสือหน้าวัดก่อนได้รับอนุญาต

Tags: , ,

'งดแสดงความคิดเห็น'.