บอกเล่าให้ฟัง
วันแรกที่พ่อมาถึงได้มีโอกาสเดินเยี่ยมชมสถานที่รอบๆวัด เริ่มต้นที่วัดน้อยหลังเดิมหรือถ้าจะเรียกว่าโรงสวดน่าจะดีกว่า ทำให้พ่อมีโอกาสรำพึงถึงเรื่องราวความเป็นมาของวัดพระชนนีของพระเป็นเจ้าของเรา จากวัดน้อยหรือโรงสวดที่มีคุณพ่อจากวัดแม่พระลูกประคำ ( กาลหว่าร์ ) มาทำมิสซาบูชาขอบพระคุณอาทิตย์ละครั้งและในโอกาสเทศกาลสำคัญ บัดนี้วัดของเราพัฒนามาเป็นวัดที่เป็นทางการของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯแล้ว เพราะพระคุณเจ้าได้แต่งตั้งพระสงฆ์มาเป็นเจ้าอาวาสปกครองดูแลวัดและสัตบุรุษที่นี่อย่างเป็นทางการ วัดจะมีชีวิตชีวาได้ก็ต่อเมื่อสัตบุรุษร่วมมือกับคุณพ่อเจ้าวัดทำวัดให้เป็นวัด สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เราสามารถมาสวดภาวนาพบปะกับพระเป็นเจ้าได้ดัวยใจสงบ
- ต้องมีคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปรวมกลุ่มกัน
- ต้องเป็นการรวมตัวกันอย่างสม่ำเสมอ มีการประชุมกันเป็นระยะ
- ต้องมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนและมีแนวทางปฏิบัติร่วมกัน
- ต้องมีจิตตารมณ์พระวรสารหล่อเลี้ยงกลุ่ม
- ต้องได้รับอนุญาตและนบนอบเชื่อฟังพระสังฆราชท้องถิ่น หรือผู้แทนพระสังฆราช ( คุณพ่อเจ้าวัด )
พ่อนำเอาเรื่องเหล่านี้มาเล่าให้ฟัง เพียงหวังว่าพี่น้องที่สังกัดกลุ่มองค์กร หรือไม่สังกัดกลุ่มองค์กรใดจะร่วมมือกันทำวัดให้เป็นวัดตามความหมาย ถ้าพี่น้องสังกัดกลุ่มองค์กรใดอยู่แล้ว ก็คงต้องไปรำพึงทบทวนดูว่ากลุ่มองค์กรของเรา ยังขาดอะไรที่เป็นคุณลักษณะของกลุ่ม องค์กรของพระศาสนจักรบ้างหรือไม่ ถ้าขาดเราก็เติม ถ้ามีอยู่แล้วก็พัฒนาให้เข้มแข็งและดียิ่งๆขึ้นไป เพื่อกลุ่มองค์กรของเราจะได้สนับสนุนชุมชนแห่งความเชื่อแห่งนี้ให้เข้มแข็ง และเป็นทางเลือกให้สัตบุรุษอื่นๆ สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในงานของพระศาสนจักรมากยิ่งขึ้น
จากคุณพ่อเจ้าวัด
คำสั่งสุดท้ายของพระเยซูคริสตเจ้า
“ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง” ( มก. 16:15 ) การประกาศข่าวดีเป็นคำสั่งสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูคริสตเจ้าจะเสด็จขึ้นสวรรค์ คำสั่งนี้จึงถือว่าเป็นคำสั่งที่สำคัญ ซึ่งพระศาสนจักรถือว่าเป็นพันธกิจหลักของพระศาสนจักร จนสภาพระสังคายนาวาติกัน ที่ 2 ประกาศเป็นคำสอนว่า “ธรรมชาติของพระศาสนจักรเป็นธรรมทูต” ซึ่งหมายถึงผู้ประกาศข่าวดีนั่นเอง การประกาศเช่นนี้ของสภาพระสังคายนาวาติกัน ที่ 2 แสดงให้เห็นจุดยืนของพระศาสนจักรชัดเจนว่า พระศาสนจักรต้องเป็นเครื่องหมาย และเครื่องมือนำความรอดพ้นมาสู่มนุษยชาติ ด้วยเหตุนี้กิจการใดๆไม่ว่าที่เป็นกิจการของพระศาสนจักร จะต้องเป็นกิจการที่ทำให้มนุษยชาติรู้จัก องค์พระเยซูคริสตเจ้ามากขึ้น และสมาชิกทุกๆคนของพระศาสนจักร ต้องมีความสำนึกถือว่าการประกาศข่าวดีเป็นหน้าที่ของทุกๆคน และต้องประกาศข่าวดีในทุกๆที่ๆ เขาอยู่ เป็นต้นด้วยการเป็นพยานในการดำเนินชีวิต
พระศาสนจักรในยุคแรกๆได้สืบสานพันธกิจนี้ด้วยใจเร่าร้อน ไม่ว่าจะถูกสั่งห้าม ถูกเบียดเบียนต้องหนีตายกระจัดกระจายไปอยู่ที่ใด คริสตชนในยุคนั้นก็ไม่หยุดที่จะประกาศข่าวดี ยิ่งการเบียดเบียนหนักขึ้นและคริสตชนกระจัดกระจายไปมากเท่าใด ข่าวดีก็ถูกเผยแผ่ประกาศออกไปมากเท่านั้น เมื่ออ่านพระคัมภีร์หนังสือกิจการอัครสาวก รู้สึกซึ้งใจในความเร่าร้อนของการประกาศข่าวดีของคริสตชนในสมัยนั้น ในยุคของเราความเร่าร้อนแบบนั้นหายไปไหน เรายังมีความกล้าหาญในการประกาศข่าวดี เหมือนคริสตชนในยุคแรกๆหรือไม่
ปัญหาใหญ่ของการประกาศข่าวดีในยุคของเรา ไม่ใช่เป็นเพียงแต่การขาดความเร่าร้อนและความกล้าหาญเท่านั้น แต่ยังเข้าทำนองสุภาษิตของชาวโรมันด้วยว่า “ไม่มีใครสามารถให้ในสิ่งที่ตนเองไม่มี” การประกาศข่าวดีเป็นการถ่ายทอดความเชื่อ เป็นการแนะนำให้ผู้อื่นรู้จักองค์พระเยซูคริสตเจ้า แล้วเรามีความเชื่อมากน้อยแค่ไหน ลึกซึ้งหรือไม่ เรารู้จักองค์พระเยซูคริสตเจ้าหรือไม่ รู้จักอย่างไร อย่างที่พระองค์เป็น หรืออย่างที่เราต้องการให้พระองค์เป็น
การมีความเชื่อที่ไม่ลึกซึ้งเพียงพอ การเรียนรู้คำสอนอย่างผิวเผิน ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่กล้าที่จะประกาศข่าวดี เพราะเวลาเราเจอปัญหา หรือคำถามเราก็จะจนแต้มตอบไม่ออกจึงหาวีธีการเลี่ยงเสียจะดีกว่า ยิ่งกว่านั้นชีวิตของเราคริสตชนยังไม่เป็นเนื้อหา และเป็นพยานถึงข่าวดีอีกด้วย เราลองถามตนเองดูว่าที่ที่เราอยู่การมีคริสตชนอยู่ และการไม่คริสตชนอยู่ต่างกันตรงไหน ตรงนั้นมีความดีงามและสันติสุขมากขึ้นหรือไม่ ขณะที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงเทศน์สอนอยู่นั้น ผู้คนที่ได้ฟังคำสอนของพระองค์ต่างประหลาดใจและพูดกันว่า “คำสอนนี้เป็นคำสอนที่ไม่เหมือนอาจารย์ท่านอื่นๆ เลย คำสอนนี้เป็นคำสอนที่มีพลัง” บางคนพูดว่า “คนๆ นี้ทำอะไรดีๆ ทั้งนั้น” ที่เป็นเช่นนี้เพราะชีวิตของพระองค์ เป็นเนื้อหาคำสอนและเป็นพยานถึงคำสอนของพระองค์เอง ใครเห็นการดำเนินชีวิตของพระองค์ก็เข้าใจคำสอนของพระองค์ ขอพระวาจาของพระเจ้าเตือนใจเรา ให้กล้าหาญที่จะประกาศข่าวดีและมีชีวิตที่เป็นพยานถึงข่าวดีที่เราประกาศ เมื่อใครรู้จักเราต้องรู้จักพระเยซูคริสตเจ้า เมื่อพบเราต้องพบกับพระองค์ด้วย
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ประกาศ
- องค์สมเด็จพระส้นตะปาปา เบเนดิ๊กต์ ที่ 16 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งพระคุณเจ้า ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิท วาณิช พระสังฆาราชแห่งสังฆมณฑลนครสวรรค์ เป็นผู้สืบตำแหน่งประมุขแห่งอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯท่านต่อไป
- เข้าเงียบพระสงฆ์เขต 2 วันจันทร์ที่ 25 –วันพุธที่ 27 พ.ค. 2009 ณ บ้านหาดหฤทัย หัวหิน ของดมิสซาวันดังกล่าวด้วย
- ขอเชิญชวนเด็กหญิงมาช่วยโปรยดอกไม้ ในวันสมโภชพระวรกายและพระโลหิตของพระเยซูคริสตเจ้า สมัครลงชื่อได้ที่ที่จำหน่ายศาสนภัณฑ์
- เทศกาลมหาพรตผ่านไปแล้วขอให้นำกระบอกมหาพรตมาคืนที่วัดด้วย
- หลังมิสซาวันอาทิตย์นี้มีประชุมสภาอภิบาลชุดใหม่ เวลา 10.30 น.
Tags: วัดรังสิต, สารวัด, สารวัด วัดพระชนนีของพระเป็นเจ้า รังสิต