บทอ่านจากพระวรสารนักบุญูลูกา
ลก 24:46-53
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “มีเขียนไว้ดังนี้ว่าพระคริสตเจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานและจะกลับคืนพระชนมชีพ จากบรรดาผู้ตายในวันที่สาม จะต้องประกาศในพระนามพระองค์ให้นานาชาติกลับใจเพื่อรับอภัยบาป โดยเริ่มจากกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายเป็นพยานถึงเรื่องนี้ทั้งหมด บัดนี้ เรากำลังจะส่งพระผู้ที่พระบิดาทรงสัญญาไว้มาเหนือ ท่านทั้งหลาย เพราะฉะนั้นท่านจงคอยอยู่ในกรุงจนกว่าท่านจะได้รับพระอานุภาพปกคลุมจากเบี้องบน” พระองค์ทรงนำบรรดาศิษย์ออกไปใกล้หมู่บ้านเบธานี ทรงยกพระยกพระหัตถ์ขึ้นอวยพระพร และขณะที่อวยพระพรนั้น พระองค์ทรงแยกไปจากเขา และทรงถูกนำขึ้นสู่สวรรค์ บรรดาศิษย์กราบนมัสการพระองค์แล้วกลับไปกรุงเยรูซาเล็มด้วยความยินดียิ่ง เขาอยู่ในพระวิหารตลอดเวลา ถวายพระพรแด่พระเจ้า.
***อ่านประกอบพระคัมภีร์ ข้อคิดจากพระวาจา***
เจตจำนงสุดท้ายของพระเยซูเจ้า อาทิตย์สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์
บทนำ
ยาโกโม ปุชชีนิ (Giacomo Puccini) นักดนตรีเอกชาวอิตาเลียน ผู้แต่งบทเพลงโอเปรา La Boheme, Madama Butterfly และ Tosca ขณะกำลังต่อสู้กับโรคมะเร็งขั้นสุดท้ายปี 1922 ปุชชีนิได้เขียนบทเพลง Turandot กล่าวกันว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดของเขา ปุชชีนิเขียนบทเพลงนี้ทั้งกลางวันกลางคืนจนสุขภาพแย่ลง ปุชชีนิได้พูดกับศิษย์ของตนว่า “หากฉันเขียน Turandot ไม่จบ ช่วยเขียนต่อให้จบด้วย” ปุชชีนิมรณะปี 1924 ทิ้งงานที่ยังเขียนไม่จบไว้ และบรรดาลูกศิษย์ได้ช่วยกันเขียนต่อจนจบ ในการเปิดการแสดงรอบปฐมทัศน์ ณ โรงละครสกาลา (La Scala) แห่งเมืองมิลานปี 1926 ทอสกานีนิ ศิษย์เอกของปุชชีนิเป็นผู้อำนวยเพลง บทเพลง Turandot ได้บรรเลงอย่างไพเราะกระทั่งถึงท่อนสุดท้ายที่ปุชชีนิเขียน ทอสกานีนิได้หยุดบรรเลงและหันมาทางผู้ชมว่า “อาจารย์ได้เขียนมาถึงตอนนี้และจากไป” ผู้ฟังปรบมือให้เกียรติอย่างยาวนาน ทอสกานีนิกล่าวต่อไปว่า “พวกเราลูกศิษย์ได้ช่วยกันเขียนต่อจนจบ” จากนั้นได้บรรเลงบทเพลงนี้จนจบ
วันนี้เราสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สี่สิบวันหลังการกลับคืนพระชนมชีพ พระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ต่อหน้าบรรดาศิษย์ด้วยอำนาจของพระองค์เอง ก่อนเสด็จสู่สวรรค์พระองค์ได้ตรัสกับบรรดาศิษย์และเราแต่ละคน ให้เราสานต่องานไถ่กู้มนุษยชาติของพระองค์ให้สำเร็จ ด้วยการประกาศข่าวดีในคำพูดและการกระทำของเรา อีกทั้งเป็นวันเฉลิมฉลองการได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ซึ่งทุกคนมีส่วน
เจตจำนงสุดท้ายของพระเยซูเจ้า
การเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้ามีความแตกต่างกันในพระวรสารแต่ละฉบับ ผู้เขียนไม่ได้มุ่งให้รายละเอียดทางประวัติศาสตร์ แต่ต้องการให้ความสำคัญกับพระดำรัสที่ตรัสกับบรรดาศิษย์ ซึ่งเป็นเจตจำนงสุดท้ายของพระองค์ และได้รับการบันทึกแตกต่างกัน แต่มีความสอดคล้องกันในประเด็นที่ว่า : 1) พระเยซูเจ้าทรงมอบพันธกิจแก่บรรดาศิษย์ ซึ่งเป็นงานผูกมัดพวกเขาจนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง และ 2) ทรงให้ความมั่นใจว่าจะทรงช่วยเหลือพวกเขาในการทำให้พันธกิจนี้สำเร็จ
พันธกิจแห่งการเป็นพยานถึงข่าวดีของพระเยซูเจ้าจนสุดปลายแผ่นดิน ด้วยการออกไปทั่วโลกประกาศข่าวดีแก่มนุษย์ทั้งมวล เป็นพันธกิจแจ่มชัดมาก พระเยซูเจ้าทรงต้องการให้เราเป็นข่าวดีแก่มนุษยชาติ ทุกชาติ ทุกภาษา และวัฒนธรรม เราถูกเรียกให้บอกเล่าเรื่องราวชีวิต พระทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าด้วยชีวิตของตน ในการเจริญชีวิตตามคุณค่าพระวรสารในชีวิตประจำวัน พันธกิจนี้มิใช่เป้าหมายที่สำเร็จได้ด้วยกำลังความสามารถของมนุษย์
พระเยซูเจ้าทรงสัญญาประทานพลังแก่ผู้นำสารด้วยอำนาจของพระจิตเจ้า การประกาศข่าวดีแก่มนุษยชาติควรเริ่มต้นจากตัวเรา ด้วยการคุกเข่าลงอธิษฐานภาวนาวอนขอพระพรจากพระจิตเจ้า และสารภาพว่างานทุกอย่างสำเร็จได้มิใช่ด้วยมือเรา แต่ด้วยพระหรรษทานจากเบื้องบน พระจิตเจ้าทรงช่วยเหลือให้พันธกิจนี้ดำเนินต่อไป ประการสำคัญ พระองค์ทรงสัญญาจะอยู่กับเราเสมอไปจนสิ้นพิภพ ในพระศาสนจักร ศีลมหาสนิท พระวาจาของพระเจ้า และในเพื่อนมนุษย์ เป็นการปรากฏพระองค์ในมิติของความเชื่อ
- บทเรียนสำหรับเรา
การสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ และพระวาจาของพระเจ้าวันนี้ได้ให้บทเรียนสำคัญสำหรับเราหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก เราต้องเป็นผู้ประกาศข่าวดี พระเยซูเจ้าทรงมอบพันธกิจนี้แก่ผู้มีความเชื่อทุกคน “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีแก่มนุษย์ทั้งปวง” (มก 16:15) มีความแตกต่างระหว่างการเทศน์สอนกับการประกาศ เราสอนด้วยคำพูด แต่เราประกาศด้วยชีวิต เราถูกส่งไปประกาศข่าวดีแห่งชีวิตและความรัก ข่าวดีแห่งความหวังและสันติสุขในการเป็นพยานด้วยชีวิตของตน เราต้องเป็นศิษย์พระคริสต์ในทุกที่ที่เราอยู่และไป
ประการที่สอง เราต้องตระหนักถึงการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้า พระองค์ได้ให้ความมั่นใจว่าจะอยู่กับเราตลอดไป แม้ในห้วงเวลาแห่งความยากลำบากในชีวิต “เวลานี้พระเยซูเจ้าได้รับเกียรติรุ่งโรจน์ในสวรรค์ แต่ยังคงทรมานในโลก ในความเจ็บปวดและความทุกข์ระทมที่เรา พระกายทิพย์ของพระองค์ได้รับ” (น.เอากุสติน) เราต้องดำเนินชีวิตในความรักต่อกัน อธิษฐานภาวนาร่วมกัน ดำเนินชีวิตเป็นแสงสว่างให้คนอื่นเห็นความดีของพระเจ้าในตัวเรา
ประการที่สาม เราต้องเลียนแบบพระเยซูเจ้า ทรงมอบบทเรียนแห่งความเชื่อ ความหวัง ความเมตตากรุณา ความรักและการให้อภัยแก่เรา แม้ไม่ได้เห็นการปรากฏพระองค์ในโลกอีก แต่ทรงปรากฏพระองค์ในพระวาจา เราต้องทำให้พระวาจาของพระองค์ปรากฏเป็นจริงในชีวิตของเรา พันธกิจในการประกาศข่าวดีแก่มนุษยชาติต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน และมีความสุภาพถ่อมตนเพื่อให้พระจิตเจ้าทรงนำทางเรา
บทสรุป
พี่น้องที่รัก ความปรารถนาสุดท้ายของพระเยซูเจ้าก่อนจากบรรดาศิษย์สู่สวรรค์ ทรงต้องการให้พวกเขาประกาศข่าวดีแก่ทุกคนในโลก นี่เป็นเจตจำนงสุดท้ายที่ทรงต้องการจากศิษย์ของพระองค์และเราแต่ละคน เราได้รับแสงสว่างแห่งพระวรสารแล้วตั้งแต่วันรับศีลล้างบาป ดังนั้น เราต้องนำข่าวดีนี้ไปสู่ผู้อื่น ความเชื่อที่เรามีมิใช่สมบัติส่วนบุคคลที่ต้องเก็บรักษาไว้กับตนเอง แต่ต้องแบ่งปันกับผู้อื่นด้วยชีวิตของตน พระเยซูเจ้าทรงเสด็จสู่สวรรค์อย่างรุ่งโรจน์ เป็นความหวังว่าสักวันหนึ่งเราจะได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์เช่นเดียวกัน หากเราดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์ ในอีกด้านหนึ่ง สวรรค์คือที่ประทับของพระเจ้า ศิษย์พระคริสต์ต้องอุทิศตนเพื่อทำให้โลกกลายเป็นสวรรค์ที่พระเจ้าประทับอยู่ สวรรค์บังเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ในโลกนี้ในความรักต่อกัน การให้อภัยความผิดของกันและกัน การรับใช้ซึ่งกันและกัน และในความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือกัน…
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
ที่มา : ข้อคิดพระวาจาวันอาทิตย์สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ 2021 โดยคุณพ่อ Dondaniel ขวัญ ถิ่นวัลย์ https://dondaniele.blogspot.com/
สวัสดีครับ พี่น้องสัตบุรุษวัดพระชนนีของพระเป็นเจ้า ที่รักทุกท่าน
พ่อขอเล่าเรื่องที่อิงถึงพระคุณเจ้ายอแซฟ สังวาลย์ ศุระศรางค์ ที่ได้เทศน์สอนไว้ และคุณศรินทร เมธีวัชรานนท์ ได้เขียนถึงไว้ดังนี้
…ฉันคิดถึงเรื่องหนึ่งที่พระคุณเจ้าพระสังฆราชสังวาลย์ ศุระศรางค์ ประมุขแห่งสังฆมณฑลเชียงใหม่ ผู้ซึ่งฉันเคารพรักมากได้เทศน์สอนไว้และฉันก็จำจนทุกวันนี้
มีชายคนหนึ่งเป็นนักไต่เขาที่เก่งมาก วันหนึ่งเขาไปร่วมการแข่งไต่เขาและเช้าวันที่เขาคิดว่าเขาจะสามารถพิชิตยอดเขาได้ เขาจึงเริ่มออกแต่เข้ามืด ปรากฏว่าเมื่อเริ่มไปได้ไม่นานเขาเกิดพลาดพลัดตกลงมาห้อยโตงเตงกลางอากาศ ท่าม กลางความมืดเขาตกใจมาก วินาทีนั้นเขาคิดถึงพระเจ้า เขาตะโกนขอความช่วยเหลือดังลั่น “พระเจ้าโปรดช่วยข้าด้วย” พระเจ้าเมื่อได้ยินดังนั้นก็ตะโกนกลับว่า “ให้ตัดเชือก” ชายหนุ่มผู้นั้นแทนที่จะตัดเชือกตามที่พระเจ้าทรงบอก เขากลับเอาเชื่อกพันรอบเอวเขาให้แน่นยิ่งขึ้น รุ่งเช้ามีคนพบศพชายหนุ่มผู้นี้ห้อยโตงเตงแข็งตายอยู่เหนือพื้นดินเพียง 2 ฟุตเท่านั้น
เมื่อได้ฟังนิทานเรื่องนี้ ทำให้ฉันอดคิดถึงตัวเองไม่ได้ หลายๆ ครั้งเมื่อฉันตกอยู่ในสภาวะเช่นเดียวกับชายผู้นี้ แต่ด้วยความเชื่อในพระองค์ ฉันจะตัดเชือกเลย โดยไม่ต้องคิดเป็นครั้งที่สอง แล้วฉันก็ตกลงสู่พื้นดินท่ามกลางความมืดมิดที่ห่างจากฉันเพียงฟุตครึ่งเท่านั้น
ความเชื่อของฉันที่มีต่อพระเป็นเจ้าในขณะนี้เป็นความเชื่อความศรัทธาที่ปราศจากเงื่อนไข (Unconditional Faith) จริงๆ และจากประสบการณ์ชีวิตจริงของฉัน ทำให้ฉันคิดถึงพระวาจาอีกบทหนึ่งที่ขอเขียนเป็นภาษาอังกฤษดังนี้ “All things are possible with God “(Mark 10:27) (ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า (มาระโก 10:27) และเพราะความเชื่อความศรัทธาต่อพระเจ้านี่แหละ ทำให้ฉันดำเนินชีวิตทุกวันนี้ตามพระวาจาของพระองค์ในทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกย่างก้าว ทุกมิติของชีวิต (จากหนังสือ ภูเขาเคลื่อนได้ โดยคุณศรินทร เมธีวัชรานนท์ หน้า 282-283)
คำพยานชีวิตของคุณศรินทร และเรื่องเล่าของพระคุณเจ้าสังวาลย์ ขอส่งต่อมอบให้เป็นคติธรรมสำหรับพี่น้องสัตบุรุษ เพื่อจะได้เกิดพลังแห่งความเชื่อไว้วางใจในพระ และมีความหวังเสมอในการช่วยให้รอดพ้นของพระองค์
ขอพระชนนีของพระเป็นเจ้า อำนวยพรท่าน
คุณพ่ออนุชา (อียิปต์) ชาวแพรกน้อย
วันศุกร์ 27 พฤษภาคม 2565 เวลา 17.23 น.
พระแม่มารีย์ ราชินีแห่งสันติสุข Mary Regina Pacis
พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเชิญชวนให้สวดสายประคำเพื่อสันติภาพในยูเครนและเพื่อการยุติสงครามทั่วโลก โดยพระองค์จะทรงนำสวดสายประคำ ณ พระมหาวิหารแห่งพระนางมารีย์ (Basilica of St. Mary Major) กรุงโรม ประเทศอิตาลี ในวันอังคารที่ 31 พฤษภาคม 2022 เวลา 18.00 น. ต่อหน้าพระรูปพระแม่มารีย์ ราชินีแห่งสันติสุข (Mary Regina Pacis) และเพื่อเป็นการปิดเดือนของแม่พระ (พฤษภาคม)
ขอเชิญพี่น้องสัตบุรุษร่วมสวดสายประคำร่วมกับพระสันตะปาปาฟรังซิส และสักการะสถานทั่วโลกในโอกาสนี้ด้วย (Joining together with Pope Francis and international shrines)