ฉบับที่ 14005 วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2014

บอกเล่าให้ฟัง

ความผสานกลมกลืนทำให้โลกของเราน่าอยู่ มีความสงบสันติ ความงดงาม ความไพเราะ เมื่อทอดสายตาจากเนินเขาสูงไปสู่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ เราเห็นดอกไม้หลายหลากสีสันเป็นธรรมชาติที่สวยสดงดงาม วงดนตรีมีเครื่องดนตรีหลายชิ้นที่มีเสียงแตกต่างกัน นักดนตรีที่มีฝีมือสามารถเล่นเครื่องดนตรีเหล่านั้นขับกล่อมออกมาเป็นเสียงที่กลมกลืน เกิดความไพเราะสร้างความเพลิดเพลินเจริญใจให้แก่ผู้ฟัง ฯลฯ ถ้าบนโลกของเราใบนี้มีสีเดียว เสียงเดียว มีอะไรเหมือนๆกันไปหมด อะไรจะเกิดขึ้นหนอ โลกแบบนี้คงเป็นโลกที่น่าเบื่อไม่น่าอยู่ไม่มีความสวยสดงดงาม เพราะขาดสีสันแห่งชีวิต

โดยธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์มีความแตกต่างหลายหลาก เพราะพระเจ้าทรงสร้างเราแต่ละคนมาอย่างเฉพาะเจาะจง ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร เรามีความแตกต่างกันทางกายภาพและความคิดอ่าน อีกทั้งยังมีผลิตผลทางความคิดออกมาแตกต่างทางการกระทำ สิ่งที่เราควรพิจารณาคำนึงถึงในความหลายหลากแตกต่างอย่างนี้ ก็คือ “ความเป็นหนึ่งเดียวในความหลายหลากเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้หรือไม่” เราสามารถทำให้เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงได้ หรือเกิดขึ้นได้เฉพาะในโลกแห่งจินตนาการ เป็นอุดมการณ์สูงส่งที่เราเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาพูดกันอย่างหรูๆ เพื่อทำให้ดูดี ถ้าเราสังเกตดูมนุษย์ที่มีความแตกต่างหลายหลาก เราจะพบว่ามนุษย์ทุกคนปรารถนาที่จะมีชีวิตสงบสุขอยู่ในบรรยากาศแห่งสันติภาพ ชีวิตเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับผู้อื่น กับธรรมชาติ และสามารถดำเนินชีวิตท่ามกลางความแตกต่างหลายหลากอย่างประสานกลมกลืน นั่นหมายความว่าความเป็นหนึ่งเดียวในความหลายหลากจะต้องสามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริงบนโลกใบนี้ในเมื่อมนุษย์มีความหลายหลากแตกต่างกันตามธรรมชาติ ความคิดเห็นและการกระทำที่แตกต่างจึงเป็นเรื่องสามัญธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ในสังคม แต่มันจะต้องไม่เป็นชนวนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งและการแตกแยก การแตกแยกมักจะเกิดขึ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตน ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง และพยายามครอบงำผู้อื่นให้คิด พูด และกระทำอย่างตน ถ้าไม่ทำเช่นนี้สิ่งนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ดี ไม่เหมาะสม ใช้ไม่ได้ในสายตาของเรา จึงเกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกและการแตกแยกขึ้น

เราจะสามารถสร้างความเป็นหนึ่งเดียวในความหลายหลากได้สำเร็จ ก็ต่อเมื่อเราสามารถเข้าถึงบ่อเกิดแห่งความเป็นหนึ่งเดียว และความหลายหลากคือ “องค์พระจิตเจ้า” พระองค์เป็นบ่อเกิดแห่งพระพรนานาประการ และได้ประทานพระพรให้กับเรามนุษย์แต่ละคนแตกต่างกันไป แต่พระพรที่หลายหลากเหล่านี้ต่างก็สอดคล้อง ประสานกลมกลืน และเกื้อหนุนกันและกัน ถ้าเรารู้จักคุณค่าและเข้าใจความหมายของพระพรเหล่านี้ จนกระทั่งสามารถนำพระพรที่หลายหลากแตกต่างเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม ความแตกต่างหลายหลากในชีวิตของมนุษย์ก็จะกลายเป็นสีสัน ความงดงาม และความดีที่พระเจ้าประทานให้กับเรา เพื่อเราจะได้สามารถร่วมมือกับพระองค์ในการสร้างสรรค์โลกให้งดงาม และพระพรอันแตกต่างหลายหลากเหล่านี้ยังนำมาซึ่งความสงบสุขสันติแห่งสังคมมนุษย์.

จาก คุณพ่อเจ้าวัด

แสงสว่างส่องนานาชาติ

ในวันนี้พระศาสนจักรฉลองการถายพระกุมารเยซูในพระวิหาร ในโอกาสนี้พระเจ้าได้ทรงยืนยันให้ท่านผู้ชอบธรรมสิเมโอนทราบว่า แสงสว่างแท้ซึ่งเป็นดวงประทีปที่ส่องสว่างนานาชาติคือองค์พระเยซูคริสตเจ้าได้มาถึงโลกแล้ว “นัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้ช่วยให้รอดพ้น ผู้ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับนานาประชาชาติ เป็นแสงสว่างเปิดเผยให้คนต่างชาติรู้จักพระองค์” (ลก.2:30-32) การบังเกิดมาของพระเยซูคริสตเจ้าเป็นสัญญาณบ่งบอกให้เราทราบว่า อรุณใหม่แห่งชีวิตซึ่งนำความหวังความชื่นชมยินดี ได้ส่องสว่างเข้ามาในโลกแห่งความมืดมนของมนุษย์แล้ว แสงสว่างนี้สามารถทำให้มนุษย์พ้นจากสภาพความมืดมาพบหนทางสว่างในองค์พระเยซูคริสตเจ้า “เราเป็นแสงสว่างส่องโลกผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีแสงสว่างส่องชีวิต” (ยน.8:12)

เมื่อแสงสว่างแท้ส่องสว่างเข้ามาในโลกแล้ว แต่ทำไมยังมีมนุษย์จำนวนมากมายมหาศาลยังจมอยู่ในความมืด มีชีวิตแบบเดิมๆ เหตุก็เพราะว่ามนุษย์มีจิตใจดื้อรั้นไม่เปิดใจรับแสงสว่าง มีความเคยชินในทางบาป รักสบาย และมีความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงใหม่ในชีวิต เพราะการเปลี่ยนแปลงใหม่หมายถึงการเริ่มต้นใหม่ที่มนุษย์ต้องแสดงความพยายามในการกระทำสิ่งใหม่ การกระทำเช่นนี้มักจะนำความลำบากความยุ่งยากมาให้เสมอ แต่ถ้าเรากล้าพอที่จะก้าวออกจากสภาพความมืดมนแห่งชีวิตมาสู่ความสว่างด้วยความเพียรทน ชีวิตของเราจะมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาในทางที่ดีขึ้น เพราะเราจะพบหนทางใหม่ซึ่งเป็นหนทางที่จะนำชีวิตนิรันดรมาให้กับเรา “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา” (ยน.14:6) โลกพ้นจากความมืดเมื่อได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ฉันใด จิตใจของเราจะพ้นจากความมืดมนเมื่อได้รับแสงสว่างจากองค์พระเยซูคริสตเจ้าฉันนั้น ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องเปิดดวงใจของเรารับแสงสว่างจากองค์พระเยซูคริสตเจ้าโดยมีความเชื่อและปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์

พิธีกรรมในวันนี้ เริ่มต้นจากการเสกและแห่เทียนเข้าสู่พระวิหารของพระเจ้า ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ หมายถึงชีวิตของเราคริสตชนทุกคนถูกเรียกให้มารับแสงสว่างจากองค์พระเยซูคริสตเจ้า เพื่อเราจะได้เป็นแสงสว่างส่องโลก “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก…แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” (มธ.5:14-16) การแห่เทียนที่จุดอยู่ไปยังพระแท่นบูชา ทำให้เราคิดถึงพันธกิจที่สำคัญยิ่งของเราคริสตชน ที่ได้รับมอบหมายจากองค์พระเยซูคริสตเจ้าในการนำแสงสว่างไปสู่มวลมนุษย์จนสุดปลายแผ่นดิน ชีวิตของเราจึงต้องเป็นเหมือนเทียนที่จุดส่องสว่างด้วยแบบอย่างการดำเนินชีวิตเป็นพยานถึงแสงสว่างแท้คือองค์พระเยซูคริสตเจ้า

ขอให้วันฉลองการถวายพระกุมารเยซูในพระวิหาร กระตุ้นเตือนใจเราให้มีความกล้าหาญ กระตือรือร้นที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เปิดใจรับแสงสว่างจากองค์พระเยซูคริสตเจ้าซึ่งเป็นแสงสว่างแท้ที่ส่องสว่างเข้ามาในโลกแล้ว เพื่อชีวิตของเราจะได้สามารถส่องสว่างด้วยกิจการดี เป็นพยานถึงพระองค์

พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์

ประกาศ

  1. วันอาทิตย์นี้ ขอให้ผู้ช่วยมิสซาและผู้ที่ปรารถนาจะมาช่วยมิสซา รวมกันที่ศาลาเรือนไทย เพื่อซ้อมช่วยมิสซาและอ่านพระคัมภีร์ร่วมกัน
  2. วันเสาร์ที่ 8 ก.พ. 2014 เป็นวันผู้สูงอายุของวัด ชมรมผู้สูงอายุจัดให้เป็นวันเข้าเงียบถึงเที่ยง เริ่มลงทะเบียน 8.00 น. ขอเชิญผู้สูงอายุและผู้ที่สนใจมาเข้าเงียบ สวดภาวนา ร่วมมิสซา และรับประทานอาหารร่วมกัน
  3. ประชุมสภาภิบาล วันอาทิตย์ที่ 9 ก.พ. 2014 ขอเชิญคณะกรรมการสภาภิบาลเข้าประชุมโดยพร้อมเพรียง หลังมิสซาเวลา 10.30 น.
  4. วันอาทิตย์ที่ 16 ก.พ. 2014 ขอให้ผู้อ่านบทอ่านและผู้ที่ปรารถนาจะอ่านบทอ่าน รวมกันที่ศาลาเรือนไทย เพื่อจัดตารางเวลาและอ่านพระคัมภีร์ร่วมกัน
  5. ขอให้พี่น้องนำใบลานมาส่งคืนที่วัด เพื่อทางวัดจะได้นำไปทำเถ้าเพื่อใช้ในวันพุธรับเถ้า

download ไฟล์ สารวัดฉบับเต็ม ได้ที่นี่ สารวัดประจำสัปดาห์ 02-02-2014

Tags: , ,

'งดแสดงความคิดเห็น'.